SATO Auto-ID Thailand เปิดตัวโรงงานแห่งอนาคต พร้อมขับเคลื่อนนวัตกรรมสู่ระดับโลก SATO Auto-ID Thailand Launches Future-Ready Facility to Drive Global Innovation

SATO Auto-ID Thailand เปิดตัวโรงงานแห่งอนาคต พร้อมขับเคลื่อนนวัตกรรมสู่ระดับโลก
SATO Auto-ID Thailand Launches Future-Ready Facility to Drive Global Innovation

           SATO Auto-ID Thailand ดำเนินงานในไทยมากว่า 25 ปี โดยโรงงานแห่งใหม่นี้ เพิ่งสร้างเสร็จกลางปี พ.ศ. 2568 สามารถแก้ปัญหาต่างๆ ได้ครบถ้วน ทั้งปรับกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพ เพิ่มกำลังการผลิต และแก้ปัญหาพื้นดินทรุดและความเสี่ยงน้ำท่วม นอกจากนี้ยังเป็นโรงงานผลิตลาเบลแห่งใหม่ล่าสุดของ SATO ทั่วโลก พร้อมสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีขึ้น เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้พนักงานทั้งเก่าและใหม่

เทคโนโลยี และนวัตกรรม
           โรงงานใหม่นี้ติดตั้งเทคโนโลยีทันสมัยเพื่อให้การผลิตมีคุณภาพสูง ระบบ Positive Air Environment ช่วยป้องกันฝุ่นและแมลง เหมาะกับอุตสาหกรรมที่ต้องการความสะอาดสูง เช่น อาหาร ระบบ Automatic Cut Blower ช่วยเก็บเศษวัสดุจากการผลิตอย่างรวดเร็ว ลดภาระแรงงานคน และหลังคาที่ออกแบบรอเพื่อการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ในอนาคต ตั้งเป้าลดการใช้คาร์บอน อีกทั้งยังมีพื้นที่กว้างขวางเพียงพอเพื่อรองรับการผลิตลาเบลไร้ซับใน (Linerless labels) ที่กำลังเป็นเทรนด์ด้านความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อมในอาหาร

มุ่งผลักดันอุตสาหกรรมอาหารไทยสู่สากล
           แม้ลูกค้าของ SATO ในไทยจะเคยอยู่กลุ่มยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และเคมีภัณฑ์ แต่ปัจจุบันลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมอาหารก็เติบโตแบบก้าวกระโดดต่อเนื่องจากความร่วมมือระหว่างผู้ผลิตไทยกับญี่ปุ่น และการลงทุนใหม่จากแบรนด์อาหารระดับโลก

           คุณโคนิชิกล่าวย้ำว่า “SATO มองเห็นโอกาสมหาศาลในการนำเสนอโซลูชันที่มากกว่าแค่ลาเบล แต่รวมถึงระบบอัตโนมัติ RFID และการสนับสนุนด้านมาตรฐานที่เข้มงวดของอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งปัจจุบัน SATO ได้รับความไว้วางใจให้ร่วมงานกับบริษัทด้านอาหารชื่อดังมากมาย ในทุกระดับการผลิต ผ่านการนำเสนอโซลูชันอย่าง RFID และระบบบันทึกอุณหภูมิ เพื่อความปลอดภัยและการตรวจสอบ ย้อนกลับในกระบวนการผลิตอาหาร รวมถึงยังร่วมพัฒนาฉลากหลากหลายรูปแบบเพื่อจุดประสงค์ที่หลากหลาย ป้อนสู่ตลาด”

Koto-Uri – คิดจากปัญหา สร้างด้วยโซลูชัน
           หนึ่งในกลยุทธ์ของ SATO ที่เรียกว่า “koto-uri” คือการเข้าใจปัญหาของลูกค้าและออกแบบโซลูชันเฉพาะ ซึ่งไม่ใช่เพียงการจำหน่ายสินค้าแล้วจบกระบวนการ แต่กระบวนการนี้อาศัยการทำงานร่วมกันระหว่างฝ่ายขาย วิศวกร และโปรแกรมเมอร์

ควบคู่กัน คือแนวทาง “Portable, repeatable” โดยใช้ประโยชน์จากการมีสำนักงานใน 26 ประเทศ และเครือข่ายกว่า 90 ประเทศ แบ่งปันเรื่องราวความสำเร็จและแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในวงการอุตสาหกรรมอาหาร เพื่อนำโซลูชันที่ประสบความสำเร็จ หรือพิสูจน์แล้วจากตลาดจริงที่มีกฎระเบียบเข้มงวด เช่น ญี่ปุ่นและยุโรป มาปรับใช้ในไทย

นวัตกรรมเด่น
           ตัวอย่างเทคโนโลยีที่สะท้อนความมุ่งมั่นของ SATO ได้แก่ ลาเบลไร้ซับใน เพื่อลดขยะและความเสี่ยง ปนเปื้อนในกระบวนการผลิตอาหาร และฉลาก RFID ที่ช่วยติดตามทรัพย์สินและสินค้าคงคลังอย่างรวดเร็ว ลดเวลาการนับสต๊อกจากหลายชั่วโมงเหลือเพียงไม่กี่วินาที

           SATO Auto-ID Thailand has been operating for 25 years, starting as a sales and service branch in 1999.It opened its first label factory in 2005, followed by a second in 2015. Over time, limited space, outdated infrastructure, and operational bottlenecks made expansion difficult.

           The new facility, completed in 2025, tackles these challenges. It streamlines production processes, increases capacity, and addresses issues such as land subsidence and flood risk. As SATO’s newest label factory worldwide, it also serves as a global showcase of advanced capabilities. Importantly, it offers a better working environment to inspire both long-term employees and future talent.

Technology at the Core
           The plant integrates modern technologies to ensure efficiency and product quality. A Positive Air Environment keeps dust and insects out, vital for sectors with strict hygiene standards like food manufacturing. An Automatic Cut Blower System removes production waste quickly and cleanly, reducing operator workload. The roof is ready for solar panels to support SATO’s carbon-neutral goals. The expanded space also allows for future product lines such as linerless labels—an eco-friendly innovation gaining traction worldwide.

Driving Thailand’s Food Industry to the Global Stage
           While SATO’s customers in Thailand have traditionally been in the automotive, electronics, and chemical sectors, the company is now seeing rapid growth in the food industry—driven by close collaborations between Thai and Japanese producers and new investments from major global food brands. SATO aims to expand its reach in this sector with solutions tailored to the industry’s strict safety and quality standards.

           Mr. Konishi emphasized that SATO offers far more than just labels. The company delivers automation systems, RFID-based tracking, and temperature logging solutions to ensure food safety and full traceability throughout production. SATO also works closely with food producers to develop a wide range of label types for diverse purposes, helping them meet both regulatory requirements and market demands. Trusted at every stage of production, SATO’s approach reflects its deep commitment to advancing Thailand’s food industry on the global stage.


Beyond Labels: The Koto-Uri and Global Approach
           SATO’s sales strategy, called “koto-uri” focuses on understanding customer pain points and designing tailored solutions, rather than simply selling products. This involves close collaboration between sales teams, engineers, and programmers to deliver the right outcome.

           Complementing koto-uri is SATO’s portable, repeatable approach to business—leveraging   its global presence with offices in 26 countries and a network in over 90. Success stories and best practices are shared constantly, especially in food industry projects, allowing proven solutions from markets like Japan and Europe—where regulations are strict—to be adapted for Thailand. This combination strengthens SATO’s role as both a solution provider and a partner in operational improvement.

Innovations on Display
           Two technologies highlight SATO’s innovation-driven approach. Linerless labels remove the need for backing paper, cutting waste and reducing contamination risks in food production. RFID labels enable fast, automated asset and inventory tracking, reducing stocktaking time from hours to seconds.